รูปลักษณ์ที่ดูแปลกตาและสีเขียวสดของ จอกหูหนูยักษ์ หากมองผิวเผินหลายคนคงเข้าใจว่าเป็นจอกหูหนูและแหนใบมะขาม ซึ่งเป็นพืชน้ำที่พบโดยทั่วไปตามแหล่งน้ำในประเทศไทย แต่จอกหูหนูยักษ์นี้เป็นพืชต่างถิ่น ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศเป็นสิ่งต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติกักพืช โดยห้ามนำเข้าและมีไว้ในครอบครอง เนื่องจาก เป็นวัชพืชน้ำ ที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ถือเป็น ภัยเงียบแห่งสายน้ำ ที่ต้องเร่งจัดการให้หมดไปโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดปัญหาซ้ำรอยและรุนแรงยิ่งกว่า ผักตบชวา ดร.ศิริพร ซึงสนธิพร นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กลุ่มวิจัยวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เดิมจอกหูหนูยักษ์มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในทวีปเอเชียเมื่อประมาณปี 2473 โดย ศรีลังกา จากนั้นได้แพร่ระบาดขยายพื้นที่ไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นวัชพืชร้ายแรงระบาดไปทุกทวีป ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยซึ่งแรกเริ่มนำเข้ามาเพื่อเป็นไม้ประดับในตู้ปลา วัชพืชชนิดนี้จะเจริญเติบโตได้รวดเร็วในสภาพน้ำนิ่ง โดยเพิ่มปริมาณเป็น 2 เท่าได้ในเวลา 2-4 วัน และในสภาพที่เหมาะสมสามารถเพิ่มปริมาณเป็น 2 เท่า ได้ในเวลา 2 สัปดาห์ จาก 1 ต้นสามารถเจริญเติบโตปกคลุมพื้นที่ 64,750 ไร่ ในเวลา 3 เดือน มีน้ำหนักสดถึง 64 ตันต่อไร่ ซึ่งใกล้เคียงกับผักตบชวา ขยายพันธุ์โดยหัก หลุดออกจากต้นเดิมซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อโตเต็มที่ โดยแตกสาขาใหม่จากตายอดหรือตาด้านข้าง ซึ่งแต่ละยอดอาจแตกยอดข้างออกมาต่อ ๆ กัน ได้ถึง 5 ตา และตานี้สามารถพักตัวได้เมื่อสภาพไม่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิต่ำและขาดน้ำ
ปัจจุบันสถานการณ์แพร่ระบาดของจอกหูหนูยักษ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในลำน้ำแม่กลอง ตั้งแต่เขื่อนแม่กลอง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี พบการแพร่ระบาดครอบคลุมพื้นที่กว้างมาก เมื่อเขื่อนระบายน้ำเพื่อผลักดันน้ำเสียในแม่น้ำแม่กลองลงสู่ทะเล จอกหูหนูยักษ์จะหลุดลอยมาตามน้ำและแพร่ระบาดในพื้นที่แม่น้ำแม่กลองตอนล่าง ขณะเดียวกันก็มีการแพร่ระบาดเข้าไปในคลองสาขา และคลองย่อยด้วย อาทิ คลองดำเนินสะดวก คลองบางนกแขวก เป็นต้น นอกจากนั้น เขื่อนแม่กลองยังมีการปล่อยน้ำเพื่อป้อนพื้นที่การเกษตรใน 7 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ราชบุรี และ เพชรบุรี ซึ่งการแพร่ระบาดมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะแหล่งน้ำในพื้นที่การเกษตร เช่น นาข้าว นาบัว และบ่อเลี้ยงปลา เกษตรกร ประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ อบต. และเทศบาลต่าง ๆ ควรร่วมมือกันเร่งกำจัดจอก หูหนูยักษ์ให้หมดไปโดยเร็ว ก่อนที่จะแพร่ระบาดลุกลามและสร้างความเสียหายให้กับแหล่งน้ำมากขึ้น เนื่องจากจอกหูหนูยักษ์เมื่อขึ้นปกคลุมเต็มผิวน้ำแล้ว จะทำให้แสงแดดส่องไม่ถึงด้านล่าง ไม้น้ำที่อยู่ ใต้ผิวน้ำจะตายเพราะออกซิเจนละลายลงสู่แหล่งน้ำได้น้อย เมื่อเศษซากพืชทับถมกันหนาขึ้นจะทำให้ น้ำเน่าเสีย ทำให้ปลาและสัตว์น้ำ รวม ทั้งสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ขาดออกซิเจนและตายในที่สุด นอกจากนี้จอกหูหนูยักษ์ยังทำให้กระแสน้ำไหลช้า และกีดขวางการคมนาคมทางน้ำด้วย หากมีปัญหาสงสัยเกี่ยวกับ จอกหูหนูยักษ์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มวิจัยวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทร. 0-2940-7409 หรือ อีเมล:ws.doa@ doa.in.th
ที่มา : เดลินิวส์ ออนไลน์